รู้ไหมว่า “London” เป็นเมืองหลายชื่อนะคะ? นอกจาก “ลอนดอน” หรือ “กรุงลอนดอน” มหานครของโลกฝั่งยุโรปแห่งนี้ยังมีอีกหลายฉายา ทั้งชื่อแต่โบราณ ชื่อชิลล์ๆ ที่คนอังกฤษเรียกกันเอง และชื่อที่ได้มาพร้อมความโกลาหลของหมอกและควัน
ชื่อเมืองลอนดอน
ลอนดอน เป็นเมืองหลวงของประเทศอังกฤษ เป็นเมืองเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นโดยชาวโรมัน ตั้งแต่ศตวรรษที่หนึ่ง ตอนนั้นลอนดอนได้ประเดิมชื่อแรกจากชาวโรมันว่า “ลอนดิเนียม”
แต่เรื่องราวของฉายาที่มาพร้อมกับความรุ่งเรืองในยุคหลังต่างหาก ที่มันน่าติดตาม…

ชื่อเดิมของลอนดอนคือ “Londinium – ลอนดิเนียม”
สำหรับคนอังกฤษ เวลาพูดถึงกรุงลอนดอน บางครั้งเขาจะเรียกสั้นๆ ว่า “The City” เพราะชื่อเรียกแบบเต็มยศเต็มบั้ง คือ “The City of London” หรือ “กรุงลอนดอน” เพราะฉะนั้นถ้าฝรั่งพูดว่า “I’m going to the City tomorrow.” ก็จะได้อารมณ์ไทยๆ ประมาณว่า “พี่จะเข้าเมืองกรุงวันพรุ่งนี้” นั่นเอง
ฉายาเมืองลอนดอน
แต่อีกฉายาที่เกริ่นไว้ว่ามาพร้อมความโกลาหลคือ “The Big Smoke” และ “The Smoke” ที่แปลว่า “ควันไฟ” นั่นเอง
แต่อย่าเพิ่งเดาไปว่าชาวลอนดอนเขาเผาบ้านเผาเมืองกันนะ ควันพวกนี้มาจากการเผาถ่านหิน (coal) แล้วปล่อยออกมาทางปล่องไฟ (chimney) ต่างหาก
อ้าว…หลายประเทศในยุโรปก็เผาถ่านกันมานานแล้ว แล้วทำไมต้องมาแจ็คพ็อตที่ลอนดอนด้วย? นั่นเพราะเมืองอื่นเขาเผากันแบบพอมีพอกิน แต่ที่ลอนดอนเขาเล่นใหญ่ เผาแบบไม่ยั้งมือ จนกลายเป็นมลพิษทางอากาศ (air pollution) ที่เริ่มออกสตาร์ทแบบเงียบๆ มาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบสามค่ะ
มลพิษทางอากาศ
สมัยนั้นคนแก่และเด็กในลอนดอนเป็นโรคปอดและทางเดินหายใจกันเยอะ เพราะปัญหาเขม่าควัน แต่มาหนักมากๆ เอาช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ด เพราะนอกจากเขม่าควันที่สะสมมานานหลายร้อยปี ยังมีการเผาถ่านเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมโรงงาน และในครัวเรือนเพิ่มขึ้นด้วย
ประเทศอังกฤษเป็นเกาะล้อมด้วยทะเล มีฝนตกทั้งปี มีหมอกเยอะมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่ในปัจจุบัน หมอกหนาๆ ก็ทำให้การจราจรติดขัด รถไฟต้องหยุดวิ่ง เครื่องบินต้องเลื่อนไฟลท์กันประจำค่ะ
เดาไม่ยากว่า ปัญหาควันมาพีคเอาช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (The Industrial Revolution) เมื่อมลพิษมาพร้อมสิ่งปนเปื้อนมากมายในอากาศ ชาวลอนดอนต้องดมกันทั้งผงถ่าน ทั้งควัน ทั้งสารเคมี
ไม่ใช่แค่พี่เบิร์ด ธงไชย ที่แยก “หมอกจางๆ และควัน” ไม่ค่อยออก ชาวลอนดอนสมัยนั้นก็แยกไม่ออกเหมือนกันค่ะ เมื่อสูดควันมากเข้า ปัญหาสุขภาพมากมายจึงตามมา
เมื่อดูเผินๆ จากรูปถ่ายหมอกและควันในสมัยนั้น บางคนอาจนึกว่าฉากหนังโรแมนติก แต่จริงๆ มันคือฉากหนังสยองขวัญมากกว่าค่ะ ว่ากันว่า เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่ฝนตก สีท้องฟ้าในลอนดอนทั้งอมเหลือง อมน้ำตาล จนไปถึงอมเขียวเลยทีเดียว

Smog in London
ควันพิษกลางกรุงลอนดอน
วิกฤติทางอากาศ
แต่ที่พีคสุดๆ คือช่วงปี 1952 พอหมอกมาผสมกับควันไฟมากเข้า เลยกลายเป็นคำที่ฝรั่งเรียกว่า “smog” ซึ่งก็คือ “smoke” + “fog” ฝุ่นละอองและเขม่าจากเถ้าผ่าน รวมกันกลายเป็นควันไฟยักษ์ ที่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง จนลอนดอนกลายเป็นแดนสนธยาไปชั่วระยะหนึ่ง
Smog มาจากคำว่า “Fog” + “Smoke” หมายถึงหมอกที่ผสมรวมกับควันไฟ
ไม่ใช่แค่ชาวลอนดอนที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ช่วงนั้นหลายประเทศเพื่อนบ้านฝั่งยุโรปก็ต้องแอบลุ้นตามไปด้วยว่าควันพิษจะข้ามชายแดนไปถึงพวกเขาไหม แต่ในที่สุดวิกฤตก็ผ่านพ้น โดยการที่อังกฤษออกกฎหมาย “Clean Air Act 1956” เพื่อควบคุมกระบวนการเผาในอุตสหกรรมต่างๆ และครัวเรือนอย่างจริงจัง บวกกับการที่มลพิษค่อยๆ ถูกลมพัดพา จางจากไปในที่สุด ตามวัฏจักรของธรรมชาติ
บทเรียนมลพิษครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 12,000 คน ทั้งจากปริมาณสารพิษในปอด และการสำลักควัน และชื่อ “The Smoke” หรือ “เมืองในหมอกควัน” ของลอนดอนก็ได้มาด้วยสาเหตุนี้เอง
สรุปคือ
ถึงแม้ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจะผ่านไปแล้ว ปัจจุบันลอนดอนแก้วิกฤติควันไฟได้แล้ว ทั้งด้วยการออกมาตรการต่างๆ ที่เข้มงวด และการเผาถ่านเพื่อใช้ในครัวเรือนก็น้อยลง (ปัจจุบันเราเปลี่ยนมาใช้ระบบแก๊สสำหรับทำความร้อนกันเป็นส่วนใหญ่ค่ะ)
แต่ฉายา “The Big Smoke” และ “The Smoke” ก็ยังติดปากและติดในความทรงจำ คู่กับเมืองอมร นาม “London” จนทุกวันนี้
เมืองไทยเองก็เจอวิกฤติมลพิษติดๆ กันในรอบหลายปีที่ผ่านมา จากการเผาในครัวเรือนและเพื่อการเกษตรที่เพิ่มขึ้น อากาศแห้งและร้อนขึ้น ในขณะที่มลพิษจากลอนดอนยังถูกพัดพาออกทะเลและไม่รบกวนประเทศเพื่อนบ้านได้ แต่ปัจจุบัน ควันพิษที่ไทยเราเผชิญอยู่มีทั้งจากการกระทำของเราเอง และที่ข้ามชายแดนมาจากเพื่อนบ้าน และจะรอวัฏจักรธรรมชาติเป็นผู้แก้ปัญหาให้เราทุกปีคงไม่ทันการณ์
หากเราไม่จริงจังในการแก้ไขปัญหา สักวันฉายา “เมืองในหมอกควัน” อาจเป็นคิวของเมืองไทย
บทความมีลิขสิทธิ์ : ขอบคุณที่ไม่คัดลอก หรือดัดแปลงเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต
สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงาน ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning
