มารู้จักวัฒนธรรมฝรั่ง และเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษกันต่อค่ะ วันนี้เราจะเฉลยว่าในตำนานหลอน (เล็กๆ) ของชาวไอริช ที่เป็นต้นกำเนิดเทศกาลฮาโลวีน ตอนจบของแจ็คจอมงกจะลงเอยยังไง และฟักทองมาเกี่ยวอะไรด้วย


ความเดิมตอนที่แล้ว เพราะนิสัยเจ้าเล่ห์แบบไม่เลือกเป้าหมาย หรือความซ่าแบบไม่ดูตาม้าตาเรือของ “แจ็คจอมงก” หรือ “Stingy Jack” ทำให้เขาบังอาจไปต่อรองชีวิตกับท่านยมทูตเข้า แล้วดันทำได้สำเร็จด้วย

แต่ไม่ว่าแจ็คจะต้องรอถึงวันสิ้นอายุขัยของตัวเองตามตำนานแรก หรือการที่วิญญาณของแจ็คต้องหาทางไปสวรรค์ (ยังได้อีกเหรอ?) ด้วยตัวเองตามตำนานที่สอง ทั้งสองตำนานก็มีจุดจบเหมือนกันค่ะ

ในวัฒนธรรมตะวันตก ฝรั่งจะรู้จักคำว่า “Pearly Gates” หรือ “ประตูมุก” กันดี บอกก่อนว่าประตูมุกไม่ใช่ประตูวัดนะคะ แต่เป็นชื่อเรียกประตูสู่สรวงสวรรค์ พูดง่ายๆ ก็คล้ายด่านตรวจวิญญาณเข้าเมือง (สวรรค์) นั่นเอง

ใช่ค่ะ ตายแล้วก็ยังต้องมีภารกิจเช็คอินและรายงานตัวกับด่านตรวจอีก!

เอาเป็นว่า เมื่อแจ็คเสียชีวิตแล้ว ดวงวิญญาณก็ต้องไปรายงานตัวกับเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งเป็นผู้เฝ้าประตูสวรรค์ เซนต์ปีเตอร์จะทำหน้าที่เช็ควีซ่า เอ๊ย… เช็คความประพฤติ ก่อนอนุญาตให้ดวงวิญญาณใดๆ ผ่านประตูสวรรค์ได้

แต่ในเคสนี้ เมื่อเซ็นต์ปีเตอร์เช็คประวัติข้อมูลแล้ว ท่านสรุปได้ว่าแจ็คเป็นบุคคลที่มีความชั่วเต็มที่ ความดีไม่ปรากฏ ต้องโดนปฏิเสธเข้าเมืองสวรรค์แบบไม่ต้องเรียกสอบปากคำเพิ่มเลย ทำให้วิญญาณของแจ็คจำต้องหันหลังกลับ เพื่อเดินทางไปสู่นรกภูมิแทน (จนได้)

แต่เมื่อถึงปากประตูนรก แจ็คจอมงกก็เจอะกับยมทูตตนเดิมอีกครั้ง ซึ่งก็คือท่านยมที่แจ็คเลยใช้เล่ห์ต่อรองชีวิตไว้ แค่มองตา ต่างฝ่ายก็นึกถึงสัญญาลูกผู้ชายที่เคยให้กันไว้ (ในบทความที่แล้ว)

ต่อให้แจ็คจะเลวครบสูตรยังไง แต่เมื่อท่านยมไม่สามารถทรยศคำสาบานของตัวเองได้ วิญญาณของแจ็คก็ไม่สามารถเข้าประตูนรกได้เหมือนกัน!

เมื่อกรรมตามทัน แจ็คจำต้องก้มหน้ารับผลที่ตัวเองก่อไว้แล้วค่ะ สวรรค์ก็ไม่รับ นรกก็ไม่แล แจ็คเกาหัวสองที แล้วคิดในใจว่า แล้วจะให้กระผมไปอยู่ไหน? เป็นวิญญาณเร่ร่อนไปในความมืดมิดของโลกมนุษย์หรือไง?

ปิ๊งป่อง…ถูกต้องค่ะ นั่นแหละคือคำตอบสุดท้ายของท่านยม แจ็คต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนในความมืดมิดตลอดไป

แต่ยมทูตก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก ท่านได้โยนก้อนถ่านที่ติดไฟจากขุมนรกก้อนหนึ่งให้แจ็ค เมื่อเขารับก้อนถ่านมา ก็นำหัวผักกาดมาหนึ่งหัว (อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ว่าจู่ๆ พี่ไปหาหัวผักกาดมาจากไหนในบัดดล) แจ็คเจาะหัวผักกาดเป็นรูกลวงตรงกลาง แล้ววางก้อนถ่านไฟนรกนั้นไว้ด้านใน เพื่อใช้เป็นตะเกียงส่องนำทาง

ผลแห่งการเล่นเล่ห์กับโชคชะตา ทำให้ดวงวิญญาณของแจ็คต้องเร่ร่อน ท่องภพภูมิมนุษย์พร้อมตะเกียงฟักทองและไฟนรกไปตลอดกาล

ว่ากันว่า ตำนาน “ตะเกียงหัวผักกาดของแจ็ค” หรือ “Jack O’ Lantern”  คือแรงบันดาลใจให้ชาวไอริชคิดทำตะเกียงในเวอร์ชั่นของตัวเองขึ้นบ้าง

ตะเกียงของแจ็คในยุคหลายร้อยปีก่อน ใช้การนำหัวผักกาด ผลน้ำเต้า หรือหัวมันฝรั่ง มาเจาะรู คว้านเนื้อตรงกลางออก แล้วใส่ก้อนถ่านที่ติดไฟแดงๆ ลงไป เพื่อให้ความสว่าง แต่ตะเกียงของแจ็คในยุคต่อมาเริ่มเปลี่ยนก้อนถ่านเป็นเทียนไข เพื่อความสะดวก

สำหรับเทศกาลฮาโลวีนในปัจจุบัน ฝรั่งเขาไม่ได้ใช้แสงจากตะเกียงผักเพื่อส่องนำทางบนถนนแล้วนะคะ การจุดตะเกียงผักเหล่านี้ก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาล ตะเกียงจะถูกวางประดับไว้หน้าประตูบ้าน ริมหน้าต่าง หรือบันไดเท่านั้น

pumpkin display
Photo by Artie Siegel on Pexels.com

ในช่วงปีค.ศ. 1845 เกิดภาวะทุพภิขภัยขึ้นในประเทศไอร์แลนด์ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Great Famine” หรือ “Irish Potato Famine” เป็นทุพภิขภัยครั้งใหญ่ และในกรณีนี้สำหรับฝรั่งหมายถึง “ช่วงข้าวยากขาดมันฝรั่ง” นั่นเอง

คำว่า “มันฝรั่ง” ในภาษาอังกฤษคือ “potato” เป็นอาหารหลักของชาวไอริช เหมือนที่ข้าวเป็นอาหารหลักของไทย แล้วสมัยนั้นเขาไม่ปลูกพืชผลอื่นทดแทนกันซะด้วย เพราะฉะนั้นการขาดมันฝรั่งคือวิกฤตใหญ่ของประเทศ

ช่วงที่เกิดโรคระบาดหนักกับผลผลิตมันฝรั่ง ชาวไร่ขุดมันฝรั่งขึ้นจากดินเพียงไม่กี่วัน มันฝรั่งก็เหี่ยวเฉาเน่าดำจนทานไม่ได้ วิกฤตนี้สร้างความอดอยากแร้นแค้นไปทั่วประเทศ ในช่วงเวลาเกือบ 10 ปี ชาวไอริชเสียชีวิตไปเกือบ 1 ล้านคน (คิดเป็นประมาณ 25% ของประชากรทั้งหมดสมัยนั้น) และอีกประมาณ2 ล้านคนก็อพยพหนีตายจ้าละหวั่น

ชาวไอริชจำนวนกว่า 7 แสนคนตัดสินใจอพยพไปประเทศอเมริกา จังหวะนี้เองค่ะที่วัฒนธรรมไอริชหลายอย่างถูกเผยแพร่และส่งผ่าน รวมทั้งวัฒนธรรมการประดิษฐ์ “Jack O’Lanterm” หรือตะเกียงของแจ็คด้วย

สมัยแรกเริ่ม ตะเกียงในคืนฮาโลวีนก็ยังเป็นตะเกียงหัวผักกาด ตะเกียงมันฝรั่ง หรือตะเกียงน้ำเต้า แต่พอชาวไอริชเดินทางถึงฝั่งอเมริกาแล้ว กลับพบว่าดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีพืชผักแปลกๆ ใหม่ๆ อีกตั้งมากมาย และฟักทองก็เป็นหนึ่งใน “ของใหม่” สำหรับชาวไอริชด้วย

ว่ากันว่า ถึงชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอเมริกา หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า “Native American” จะปลูกฟักทองมาแล้วกว่า 5 พันปี แต่ชาวยุโรปบางส่วนเพิ่งมาเคยเห็นฟักทองในยุคของนักเดินทางอย่างคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ช่วงประมาณคริสตศตวรรษที่ 15 นี่เอง

สำหรับชาวไอริชซึ่งเคยอาศัยอยู่แต่บนเกาะเล็กๆ พอเห็นฟักทองแล้วตื่นเต้นค่ะ ไม่ใช่เพราะวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน แต่เพราะผลฟักทองนั้นทั้งใหญ่ ทั้งแน่น แต่เนื้อนุ่มพอดี แกะสลักด้วยมีดได้อย่างสบาย ไม่เหมือนหัวผักกาดกลมๆ ที่บ้าน ซึ่งลูกเล็กและแข็งกว่าตั้งหลายเท่า

แต่บ้างก็เชื่อว่า เพราะสมัยนั้นหัวมันฝรั่งหรือหัวผักกาด (ซึ่งเป็นอาหารโปรดของชาวไอริช) ยังไม่มีปลูกแพร่หลายในอเมริกา ทำให้จำต้องหาผักชนิดอื่นมาทดแทนต่างหาก

แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลไหน สุดท้ายการเปิดตัว“ตะเกียงคอลเล็คชั่นใหม่” ของแจ็ค ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากฟักทอง ก็ถูกใจชาวไอริชสุดๆ

man wearing hoodie and mask

ตะเกียงฟักทอง

ตำนานของแจ็คจอมงกกับยมฑูต

“คืนฮาโลวีน”  คือ “คืนปล่อยผี” เป็นคืนที่ดวงวิญญาณต่างๆ สามารถออกมาเดินท่องโลกมนุษย์ได้อย่างอิสระ ชาวไอริชใช้การจุดตะเกียงเพื่อต้อนรับวิญญาณของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่จะเดินทางกลับมาทักทายลูกหลาน

จำนวนตะเกียงที่ถูกจุดจึงมักจะเท่ากับจำนวนดวงวิญญาณที่เขาอยากจะต้อนรับคืนนั้น

บ้างก็ว่า การแกะสลักใบหน้าปีศาจบนตะเกียงจะช่วยขับไล่วิญญาณของแจ็คจอมงก ที่อาจแอบย่องมาขโมยตะเกียงไปใช้ รวมถึงขับไล่ดวงวิญญาณร้ายอื่นๆ ที่ไม่ได้รับเชิญด้วย

การสวมหน้ากากผีก็เป็นที่นิยมมาตั้งแต่อดีตค่ะ ชาวไอริชเชื่อว่าหน้ากากเป็นเทคนิคการพรางตัวเวลาต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน ถ้าบังเอิญเดินไปเจอกับวิญญาณร้ายเข้า จะได้เข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกัน แล้วไม่ทำร้ายกันเอง

ปัจจุบัน การแกะสลักใบหน้าโหดๆ บนฟักทอง การสวมหน้ากากผี และชุดแฟนซี เป็นแค่กิจกรรมสร้างสีสันในคืนฮาโลวีนเสียมากกว่า แม้แต่เพื่อนๆ ชาวอังกฤษและชาวไอริชที่ อ. ผึ้ง คุยด้วยก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือเอ่ยถึงตำนานแจ็คจอมงกอีกแล้ว

สำหรับ อ. ผึ้ง ผ่านคืนฮาโลวีนมาปีแล้วปีเล่า ไม่เคยคิดจะแกะสลักฟักทองกับฝรั่งเขาสักที เพราะเรามีแค่สองภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น หนึ่งคือรอต้อนรับแก๊งเด็กฝรั่งในชุดแฟนซีที่มาเคาะประตู แกล้งตกใจกับความหลอนพอเป็นพิธี แล้วแจกช็อคโกแล็ตให้แก๊งผีน้อยไป ใช่แล้วค่ะ…นี่แหละกิจกรรม “ทริก-ออร์-ทรีต” หรือคำที่เรียกในภาษาอังกฤษก็คือ “Trick or Treat”

และภารกิจสอง คือรอซื้อฟักทองลดราคาในวันรุ่งขึ้น ฟักทองผัด ซุปฟักทอง เทศกาลฮาโลวีนของ อ. ผึ้ง คือเทศกาลวิตามินเอบำรุงสายตานี่เอง


สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงาน ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning

ใส่ความเห็น