สำนวน Learning curve ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเรียนรูปทรงคณิตศาสตร์หรอกค่ะ แต่มันมาเกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์เราได้ยังไง บทความนี้จะพาไปหาคำตอบค่ะ


การเรียนรู้

คำว่า “learning” คือ การเรียนรู้ ส่วนคำว่า “curve” คือ เส้นโค้ง ถ้าแปลตรงๆ ก็คือ “เส้นโค้งการเรียนรู้” ฟังแล้วหลายคนอาจงงๆ ทำไมต้องเรียนกันโค้งๆ มันเดินเป็นเส้นตรงไม่ได้หรือ?

การเรียนรู้ เกิดจากการรับข้อมูล ทักษะ องค์ความรู้ หรือสิ่งใหม่เข้าไป แล้วทำให้เราเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาไปยังจุดที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดหรือพฤติกรรม แต่ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนคู่กันไปทั้งสองอย่าง

เส้นโค้ง

เส้นโค้งในเชิงคณิตศาสตร์มีได้ทั้งแนวระนาบ และแนวตั้ง ถ้าโค้งเป็นแนวระนาบ หมายถึงการอ้อมคดเคี้ยวไปมา (คล้ายถนนหรือสายน้ำ) แต่ถ้าเมื่อไหร่เราจับเส้นโค้งนั้นตั้งขึ้น แล้วเงยหน้ามอง มันจะกลายเป็นเส้นโค้งชัน มีลักษณะขึ้นและลง เหมือนเส้นกราฟนั่นเอง

เส้นโค้งแห่งการเรียนรู้

เมื่อจับทั้งสองคอนเซ็ปต์มารวมกัน เส้นโค้งการเรียนรู้ก็คือเส้นกราฟที่บอกถึงความก้าวหน้า ความถดถอย ความช้า หรือความเร็ว ในการเรียนรู้ทักษะบางอย่างของเรา

เส้นโค้งการเรียนรู้มักแสดงในรูปแบบของกราฟ โดยแกนแนวนอน (X-axis) แสดงเวลา หรือประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ส่วนแกนแนวตั้ง (Y-axis) แสดงระดับความสามารถหรือประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่า เส้นโค้งการเรียนรู้ มักใช้เปรียบเปรยกับความรู้หรือทักษะใหม่ที่เราเพิ่งเจอ ไม่ใช่ความรู้เดิมที่สะสมมานาน

กราฟ เส้นโค้ง การเรียนรู้ learning curve

ความต่างของเส้นโค้ง

การที่แต่ละเส้นโค้งไม่เท่ากันเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่างค่ะ

  1. พื้นฐานสติปัญญา – บางคนหัวไว บางคนหัวช้า ถ้าสติปัญญาต่างกัน พัฒนาการเรียนรู้ก็ย่อมไม่เท่ากัน
  2. พื้นฐานความรู้เดิม – คนที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ มาก่อนจะเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
  3. วิธีการเรียนรู้ – บางคนเรียนรู้จากการอ่าน บางคนเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง หรือฟังและดูวิดีโอ ถ้าไปเจอวิธีที่เราไม่ถนัด การเรียนรู้ก็ย่อมช้าลง
  4. แรงจูงใจ – คนที่มีแรงจูงใจสูงมักจะมีความพยายามในการเรียนรู้ และไปได้เร็วมากกว่าคนที่ไม่สนใจ
  5. สภาพแวดล้อม – สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น การมีแหล่งข้อมูลที่ดีและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง สามารถช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และแน่นอนว่า ระดับความซับซ้อนของแต่ละทักษะหรือสิ่งที่เรียนรู้ย่อมไม่เท่ากัน งานง่ายๆ บางอย่าง ใช้เวลาสอนไม่นานผู้เรียนก็สามารถทำตามได้ทันที บางทักษะไม่ต้องมีครูสอนแต่ผู้เรียนสามารถฝึกฝนเองจากการดูตัวอย่าง เพียงไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่กี่วัน และทักษะบางอย่างถ้ารู้วิธีแล้ว ต่อให้หลับตาก็ยังทำได้ เพราะเป็นสิ่งต้องทำซ้ำๆ อย่างการคีย์ข้อมูลลงในตาราง

แต่งานบางอย่างมีความซับซ้อน ต้องใช้หลายอย่างวิเคราะห์ประกอบกัน ผ่านไปเดือนแรกอาจยังมืดแปดด้าน ผ่านไปสัก 2-3 เดือนถึงเริ่มเห็นแสงสว่าง บางทักษะอาจต้องค่อยๆ สะสมความชำนาญ อย่างเช่น การเรียนภาษา การเรียนเครื่องดนตรี ที่จะให้ชำนาญภายในเดือนเดียวไม่ได้

เส้นโค้งการเรียนรู้ช่วยอธิบายพัฒนาการหรือความเร็ว-ช้าในการเรียนรู้ทักษะใหม่ของเรา

อ. ผึ้ง อารดา

เส้นโค้งการเรียนรู้ที่สูงชัน – Steep learning curve

เนื่องจากการเรียนรู้มีพัฒนาการไม่เท่ากันนี่เอง ทำให้มีอีกสำนวนภาษาอังกฤษว่า “steep learning curve” หรือ “เส้นโค้งการเรียนรู้ที่สูงชัน” ใช้อธิบายช่วงเวลาที่เราเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งมักเป็นช่วงที่ยากลำบาก ก่อนที่ความสามารถจะเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์

ช่วงที่การเรียนรู้เป็นไปอย่างยากลำบากในระยะแรกนี้เป็นเพราะผู้เรียนต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าปกติ การที่กราฟของเส้นโค้งการเรียนรู้ในช่วงนี้มีความชันสูง หมายความว่าผู้เรียนต้องเผชิญกับความท้าทายมากและต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จำนวนมากในเวลาสั้น ๆ

เส้นโค้งการเรียนรู้จะยิ่งชันมากในช่วงแรกเมื่อเจอปัจจัยเหล่านี้

  • เมื่อเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนหรือใหม่มาก
    • เช่น การเรียนเขียนโปรแกรมครั้งแรก หรือการเริ่มเล่นเครื่องดนตรีที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ในช่วงแรก สมองต้องทำความเข้าใจโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ทำให้รู้สึกว่ายากและใช้เวลาเรียนรู้มาก
  • เมื่อมีข้อมูลจำนวนมากที่ต้องจำและเข้าใจพร้อมกัน
    • เช่น การเรียนภาษาใหม่ ที่ต้องเรียนรู้ทั้งไวยากรณ์ คำศัพท์ และการออกเสียงพร้อมๆ กัน
  • เมื่อขาดพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
    • ถ้าเราไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเรียน การเริ่มต้นอาจยากและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจพื้นฐานก่อน
  • เมื่อมีข้อกำหนดหรือความคาดหวังสูง
    • ถ้าต้องเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างรวดเร็วภายใต้แรงกดดัน เช่น การเรียนรู้ซอฟต์แวร์ใหม่ในการทำงานที่ต้องใช้งานได้ภายในไม่กี่วัน

ยิ่งมีความคาดหวังมาก ยิ่งมีเวลาจำกัด หรือยิ่งเป็นเรื่องยาก เส้นโค้งการเรียนรู้ช่วงแรกของเรามักจะชันเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องทำงานเป็นทีม อย่าหงุดหงิดอารมณ์เสียนัก ถ้าจังหวะการเดินและการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอาจบังเอิญได้งานยากกว่า บางคนอาจบังเอิญหัวไวกว่า และบางคนอาจบังเอิญชำนาญในเรื่องที่ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว

อย่าลืมให้เวลาปรับตัวสำหรับคนที่รับมอบหมายงานยาก หรือมีการเรียนรู้ช้าไปบ้าง ตราบใดที่เขายังแสดงความตั้งใจจริง

เส้นโค้งการเรียนรู้ที่สูงชัน หมายถึงการเรียนรู้ที่ยากลำบากก็จริง แต่ก็หมายถึงพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเริ่มต้นด้วย เมื่อเกิดความชำนาญในทักษะนั้นแล้ว เส้นโค้งจะเริ่มลาดชันน้อยลง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าการเรียนรู้ของเราถดถอยนะคะ แต่ความยากกลายเป็นความชำนาญ และรู้รอบทักษะนั้นแล้วต่างหาก

สปีดการเรียนรู้ระดับพอดีๆ คือไม่เร็วจนกดดันตัวเอง แต่ก็ไม่ช้าจนเหมือนย่ำเท้าอยู่กับที่

อ. ผึ้ง อารดา

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กำลังเรียนรู้ทักษะใหม่ อ. ผึ้งมีเทคนิคการทำให้ผ่านช่วงเส้นโค้งการเรียนรู้ที่สูงชันได้ง่ายขึ้นมาฝากค่ะ

  1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
    • กำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและสามารถวัดผลได้ เช่น “ฉันจะฝึกพูดภาษาอังกฤษวันละ 30 นาที เป็นเวลาหนึ่งเดือน
  2. ใช้เทคนิคการเรียนรู้ที่เหมาะกับตัวเอง
    • ค้นหาวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะกับตัวเอง เช่น
      • การฟัง – ใช้พอดแคสต์หรือดูวิดีโอเพื่อฝึกฟัง
      • การอาน – อ่านบทความ หนังสือ หรือข่าวเป็นภาษาอังกฤษ
      • การปฏิบัติจริง – ลองใช้ภาษาที่เรียนรู้มาสื่อสารในสถานการณ์จริง
  3. แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนเล็กๆ
    • แทนที่จะพยายามเรียนรู้ทุกอย่างพร้อมกัน ให้โฟกัสที่ส่วนสำคัญกอน
  4. ใช้เทคนิคการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
    • เช่น การเรียนรู้จากตัวอย่าง การจดโน้ต หรือการสอนคนอื่น
  5. ฝึกฝนและใช้งานจริง
    • ารนำสิ่งที่เรียนไปใช้จริงจะช่วยให้เข้าใจเร็วขึ้น
  6. ให้เวลาตัวเองและไม่ท้อแท้
    • เส้นโค้งการเรียนรู้ที่สูงชันไม่ได้แปลว่าเราไม่สามารถเรียนรู้ได้ แค่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้น

สรุปก็คือ

เส้นโค้งการเรียนรู้ บอกถึงพัฒนาการเรียนรู้ของแต่ละคนในทักษะใหม่หรือสิ่งใหม่ ซึ่งแต่ละคนจะมีความช้าเร็วไม่เท่ากันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เส้นโค้งของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน

เมื่อเข้าใจเรื่องเส้นทางเดิน และกระบวนการเรียนรู้กันแล้ว เราลองหันกลับมาประเมินสถานการณ์ของตัวเองสิคะ ถ้าเรากำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วรู้สึกกระบวนการนี้ “ยาก”  ก็อย่าเพิ่งท้อถอย หรือล้มเลิก เพราะไม่ว่าอัตราการเรียนรู้ของแต่ละคนจะเร็วช้าแค่ไหน สุดท้ายเมื่อเราผ่านช่วงที่เส้นโค้งสูงชันไปได้แล้ว การเรียนรู้ของเราจะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที และนั่นหมายความว่า เรากำลังมีความชำนาญในทักษะนั้นเพิ่มขึ้น


สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงาน ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning

ใส่ความเห็น