“ทำยังไงดี ตั้งเป้าหมายว่าต้องเก่งภาษาอังกฤษให้ได้ เรียนมาก็หลายปี แต่ก็ไม่พัฒนาขึ้นเลย?” คำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้สาเหตุและวิธีแก้ปัญหา ที่เราจะมาวิเคราะห์และหาคำตอบกันในบทความนี้
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของนักเรียนคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของหลายๆ คน ที่เคยเจอหรือกำลังเจอกันถ้วนหน้า แม้แต่ อ. ผึ้ง เอง สมัยเป็นนักเรียนก็ “เคย” ติดล็อคตรงนี้เหมือนกัน จนมาย้อนคิดหาสาเหตุและค้นพบกฏสำคัญของคำว่า “วินัย” ที่ตัวเองเคยเข้าใจผิดมาตลอด ใครที่กำลังเจอปัญหาเรื่องการฝึกภาษาแล้วไม่พัฒนาสักที วันนี้มาปลดล็อคด้วยกันค่ะ
เริ่มต้นฝึกภาษา
สำหรับหลายๆ คน การอยากฝึกภาษามักจะเริ่มต้นจาก “แรงบันดาลใจ (Inspiration)” หรือ “แรงจูงใจ (Motivation)” บางอย่าง เช่น อยากเรียนรู้วัฒนธรรม ดนตรี ภาพยนตร์ ของเขา อยากเรียนต่อและทำงานต่างประเทศ หรืออยากใช้ภาษาได้เก่งเหมือนไอดอลที่ตัวเองชื่นชอบ
แรงบันดาลใจสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่จะมีคนเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ตัดสินใจลุกขึ้นมาหาวิธีและเส้นทางที่จะเดินเข้าไปหามัน ในขณะที่ส่วนที่เหลือมักเลือกจะใช้ชีวิตในพื้นที่สบายใจ (comfort zone) ของตัวเองเหมือนเดิม และปล่อยให้ “ความอยาก” กลายเป็น “ความอยาก” ต่อไป
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิต ด้วยการลงมือทำอะไรบางอย่าง อ. ผึ้ง ขอแสดงความยินดี และส่ง “แรงเชียร์” ให้ด้วยนะคะ เพราะการตัดสินใจและเตรียมตัวที่จะ “เริ่มต้น” ว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายแล้ว การลงมือทำให้ “ต่อเนื่อง” เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายจะเป็นเรื่องท้าทายกว่าที่รอเราอยู่
คำว่า “ต่อเนื่อง” ในที่นี้ หมายถึง การมีวินัยนั่นเอง แต่ถ้าเรานำคำว่า “วินัย” มาใช้ไม่ถูกต้อง มันอาจกลายเป็นกับดักที่หลอกให้เราวิ่งวนลูปที่เดิมก็ได้
วินัยการฝึกภาษา
“วินัย” หรือ “Discipline” สำหรับหลายคนอาจหมายถึง การแบ่งเวลาหลักหรือเวลาว่างในแต่ละวันเพื่อมาทำอะไรบางอย่างซ้ำๆ ต่อเนื่อง โดยไม่ขี้เกียจ ไม่มีข้ออ้าง และไม่ล้มเลิก
ตัวอย่างคนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมสอบ หรือเพื่อสื่อสารได้ การสร้างวินัยคือการจัดตารางเวลาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- เช้าท่องคำศัพท์
- บ่ายเรียนแกรมม่า
- เย็นทำแบบฝึกหัดทบทวนความเข้าใจ
- ก่อนนอน ตบท้ายด้วยการฟังเพลงฝรั่งที่ชอบสักครึ่งชั่วโมง
ทุ่มเทเกินร้อยขนาดนี้ เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า แต่ทำไมพัฒนาการกลับเชื่องช้า พอนานเข้าเริ่มถอดใจ และค่อยๆ ล้มเลิกถอยไปในที่สุด นั่นเป็นเพราะ คนเหล่านี้กำลังเข้าใจผิดไปว่า การยิ่งลงแรงทำงานหนัก (น่าจะ) เท่ากับความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นและเร็วขึ้นด้วย!
การทำงานหนักขึ้น ไม่ได้เท่ากับความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นและเร็วขึ้นเสมอไป

เรื่องเข้าใจผิดของ “วินัย”
รถยนต์ เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ยิ่งถูกใช้งานหนักเป็นประจำ ยิ่งต้องมีการตรวจเช็ค ประเมิน และซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ ระบบการเรียนรู้ของเราก็เหมือนกันค่ะ
คนขยันที่สุดท้ายต้อง “ล้มเลิก” ความตั้งใจ สาเหตุหนึ่งของความผิดพลาดมักมาจากการลก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆ แต่ลืมหันกลับมาเช็คเป็นระยะว่า เราเดินมา “ถูกทิศทาง” หรือเปล่า? แล้วความผิดพลาดมาจากอะไรได้บ้าง
1. ความรู้ที่ผิด
ถ้าเราบังเอิญได้รับ “ความรู้ที่ผิด” การนำมาฝึกฝนซ้ำๆ เท่ากับการตอกย้ำข้อมูลผิดๆ เข้าสู่สมองด้วย ลองนึกภาพตะปูที่เราใช้ค้อนตีและทุบมันทุกวัน ยิ่งวันยิ่งฝังลึกลงเรื่อยๆ ถ้าวันหนึ่งจะแก้ไขโดยการงัดตะปูออกก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จไหม ความรู้ที่ผิดมีอะไรบ้าง เช่น
- เข้าใจความหมายคำศัพท์ผิด
- เช่น สับสนระหว่างความหมายของคู่ศัพท์ตรงข้ามอย่าง “Loan – ให้ยืม” กับ “Borrow – ขอยืม” (ซึ่งคนที่สับสนคู่คำศัพท์นี้มีจริงๆ และมีเยอะด้วยค่ะ) เมื่อใช้คำศัพท์ผิด ความหมายเปลี่ยนทันที และถ้าแย่หน่อยก็อาจสร้างปัญหาทันทีได้เหมือนกัน
- จำการสะกดคำศัพท์ผิด
- เช่น เมื่อเห็นการสะกดด้วยภาษาแชท ที่สะกดแบบสั้นๆ และใช้ตัวย่อบ่อยๆ อย่าง LOL, OMG, RIP, Gimme, Good nite ไม่ว่าจากโซเชียลมีเดีย หรือจากเกม ก็จดจำนำมาใช้จนชิน เวลาต้องเขียนเป็นประโยคเต็มทีไร กลับนึกไม่ออก หรือสะกดผิดทุกที เพราะไม่เคยเห็นตัวอย่างคำศัพท์ที่ถูกต้อง หรือไม่เคยเห็นรูปเต็ม
2. ตัวอย่างที่ผิด
ตัวอย่างที่ผิดเกิดขึ้นได้ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน อาจเป็นตัวอย่างจากครูผู้สอน พ่อแม่ เพื่อน สังคม หรือแม้แต่คนที่มีอิทธิพลต่อเราในสื่อ การเขียนข่าว บทละคร บทเพลง เราต้องเช็คให้ชัวร์ก่อนนำไปใช้ การเห็นว่าใครๆ ก็พูดแบบนี้ หรือเขียนแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าตัวอย่างนั้นถูกต้องเสมอไป
- ได้ยินตัวอย่างการออกเสียงที่ผิด
- เช่น การเรียนการสอนที่ครูผู้สอนซึ่งไม่ใช่เจ้าของภาษาโดยตรง อาจถ่ายทอดการออกเสียงที่ผิดให้กับนักเรียน เมื่อนักเรียนจดจำนำไปใช้นอกห้องเรียนก็เกิดปัญหา เพราะสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้ เช่น error (ควรออกเสียงว่า แอ-เร่อะ ไม่ใช่ เออ-เร่อะ)
- เห็นตัวอย่างการใช้ระดับภาษาที่ผิด
- เช่น การอ่านบทสนทนาจากแชทสั้นๆ ในโซเชียลมีเดีย หรือได้ยินตัวอย่างประโยคจากเพลง (ซึ่งเป็นภาษาแบบไม่ทางการ บางครั้งสะกดผิด หรือตัดทอนการสะกดให้ดูทันสมัย) แล้วจดจำนำมาใช้เขียนในการติดต่อธุรกิจ การทำงาน (ซึ่งต้องการความเป็นทางการ) ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือและอาจเสียหายกับงานได้ เช่น ain’t เป็นภาษาพูดเฉพาะบางกลุ่ม ไม่ควรใช้แบบทางการ
3. วิธีที่ผิด
ลองมาเช็คกันหน่อยดีไหมคะว่า เรากำลังก้มหน้าใช้ “วินัยพุ่งชน” อย่างเดียวอยู่หรือเปล่า หลายคนเชื่อว่า ถ้าทำไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ สักวันก็จะเก่งเองได้ และ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
- ทำโดยไม่เช็คและปรับเปลี่ยน
- การใช้วินัยพุ่งชน โดยไม่ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าเพื่อปรับกลยุทธ์เลย ก็คล้ายๆ การ “ดันทุรัง” นะคะ เช่น ถ้าใช้คำศัพท์นี้ไปพูดกับใคร ก็ไม่เคยรู้เรื่องสักที แบบนี้เราต้องเอะใจและรีบกลับมาเช็คความถูกต้องได้แล้ว ถ้าสะกดศัพท์เดิมผิดเประจำ พราะไม่เคยรู้การสะกดเต็มรูปแบบของเขาสักที แบบนี้ก็ต้องปรึกษาดิกชันนารีด่วน อย่าปล่อยไว้
- เรียนไม่ครบ
- เช่น เมื่อเรียนคำศัพท์ใหม่แล้ว ก็ท่องจำเฉพาะคำศัพท์นั้น กับคำแปลตรงๆ แต่ไม่เรียนรู้การใช้คำศัพท์จากตัวอย่างประโยคด้วย เมื่อไม่รู้บริบทการใช้ ต่อให้รู้ความหมายก็แต่งประโยคเองไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ถูก นอกจากนี้ ศัพท์หนึ่งคำยังสามารถมีได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับบริบทด้วย เมื่อจะเรียนรู้แล้ว ก็ควรรู้ให้หลากหลาย และรู้ให้รอบนะคะ
- เรียนแต่ไม่ลงมือทำ
- เช่น ท่องจำคำศัพท์และแกรมม่าทุกวัน ฝึกทำแบบฝึกหัดทุกวัน และเป้าหมายที่ต้องการ คือการสื่อสารได้คล่องแคล่ว แต่พอเจอชาวต่างชาติจริงๆ กลับไม่กล้าเอาสิ่งที่ฝึกฝนมาใช้ เรียกว่าเก่งแต่การฝึกทฤษฎี แต่ยังลงมือปฏิบัติไม่ได้
สรุปก็คือ
การมีแรงบันดาลใจ บวกวินัยมุ่งมั่น ยังไม่เพียงพอต่อการไปสู่ความสำเร็จค่ะ เราต้องหันมาทบทวนสามเรื่องหลัก จัดการตัวเองให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องเสียก่อน จึงจะใช้ “วินัย” กับการ “ฝึกภาษา” ให้มีประสิทธิภาพ
ถ้ามีชุดความรู้ที่ผิด ตัวอย่างที่ผิด และวิธีที่ผิด ต่อให้มีวินัยฝึกไปอีก 10 ปี ก็สำเร็จได้ยาก
การจะฝึกภาษาหรือทักษะใดให้สำเร็จ คำว่าวินัยจึงต้องมีทั้ง
- การเช็คความถูกต้อง
- สร้างแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจให้เริ่มต้น
- การลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
- การประเมินตัวเอง และปรับพัฒนาระหว่างทาง
จำนวนชั่วโมงเรียนหรือจำนวนความรู้ไม่ใช่ของหายาก แต่หลักสำคัญที่ต้องไม่ละเลยคือ “วินัย” และ “การฝึกที่ถูกต้อง” ต่างหาก เมื่อไหร่ที่เริ่มต้นได้ถูกต้อง ฝึกบ่อยๆ ฝึกอย่างใส่ใจ ฝึกไปและปรับแก้ไขไปด้วย เมื่อนั้น “ความสำเร็จ” จะอยู่ไม่ไกลแน่นอน
Success requires both consistency and improvement over time. – Arada
ความสำเร็จต้องใช้ทั้งความสม่ำเสมอและการรู้จักปรับพัฒนาระหว่างทางด้วย – อ. ผึ้ง อารดา
บทความมีลิขสิทธิ์ : ขอบคุณที่ไม่คัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อนะคะ
สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงานอย่างมือโปร ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning
