ทุกวันนี้ คำว่า Freelance, Entrepreneur กับ Self-employment เป็นคำศัพท์ที่เราเจอบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ในการทำธุรกิจและการทำงาน เมื่อการทำงานแบบไม่ประจำกลายเป็นทางเลือกใหม่ ว่าแต่ว่า สามคำนี้แตกต่างกันแค่ไหนนะ?

บางคนคิดว่าดูเผินๆ สามคำนี้น่าจะมีความหมายคล้ายๆ กัน และอาจใช้สลับแทนกันด้วย แต่พอเวลาจะหยิบใช้ในการเขียนทางการ ก็งงเหมือนกันว่าจะต้องเป็นคำไหนกันแน่ บทความนี้ อ. ผึ้ง จะมาอธิบายว่า ในความคล้ายก็มีความแตกต่างพอสมควร และการใช้ในประโยคภาษาอังกฤษก็ไม่เหมือนกันด้วย


Self-Employment

คำว่า Self-employment ที่แปลตรงๆ ว่า การจ้างงานตัวเอง หรือ การทำงานอิสระ เป็นคำศัพท์หลักที่เราต้องรู้จักก่อน

โดยพื้นฐานแล้ว การทำงานอิสระก็คือการมีอิสระในการทำงานของตัวเอง คำว่า Self-employment ครอบคลุมความหมายแบบกว้างๆ ว่า การทำงานอิสระ ซึ่งคนๆ นั้นสามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำงานอะไร  สามารถกำหนดชั่วโมงการทำงาน และวิธีการในการทำงานของตัวเองได้ด้วย

บางครั้ง คนไทยเรียกกันง่ายๆ ว่าการเป็น “เจ้านายตัวเอง

คนเป็นเจ้านายตัวเองจะทำงานคนเดียวก็ได้ จะร่วมธุรกิจหรือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจก็ได้ อาจทำงานด้วยตัวเองทั้งหมด หรือขอความช่วยเหลือจากพนักงาน ลูกจ้าง หรือแม้แต่จากฟรีแลนซ์ ในการช่วยดำเนินธุรกิจก็ได้ 

เมื่อคนที่ทำงานอิสระเป็นเจ้านายของตัวเอง ก็มักจะหมายถึงการสามารถควบคุมวางแผนงานของตัวเองได้ทั้งหมด ที่สำคัญคือไม่ต้องคอยรายงานเจ้านาย หรืออาจไม่ต้องติดต่อกับลูกค้าโดยตรง เพราะมีคนอื่น (ลูกจ้าง) ทำให้แทน คนที่อยู่ในหมวดหมู่เจ้านายของตัวเเองจึงมักหมายถึงคนกลุ่มดังต่อไปนี้ เช่น

  • A business owner เจ้าของธุรกิจ
  • An entrepreneur ผู้ประกอบการ
  • A startup founder ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ

Entrepreneur vs Business Owner

คำว่า Entrepreneur เป็นหนึ่งในกลุ่มของเจ้านายตัวเอง อย่างที่ อ. ผึ้ง ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น และเป็นอีกคำหนึ่งที่หลายคนยังสับสนกับการหยิบมาใช้ด้วย เพราะมันใกล้เคียงกับคำว่า Business owner มาก

ถ้าอธิบายแบบกว้างๆ คนที่เป็น Entrepreneur คือเจ้าของธุรกิจของตัวเอง (บางคนอาจแปลว่า ผู้ประกอบการ) ซึ่งธุรกิจนั้นเกิดจากไอเดียใหม่ที่คิดค้นเอง มีการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีระบบระเบียบ ผู้ประกอบการมักมีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการพัฒนาธุรกิจ หรือมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมบางอย่าง ในขณะที่ Business owner อาจเป็นเจ้าของธุรกิจที่นำความรู้ความชำนาญที่มีอยู่แต่เดิมมาสร้างเป็นธุรกิจของตัวเอง

ตัวอย่างง่ายๆ คือ เจ้าของธุรกิจที่คิดค้นและสร้างธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพจากพืชชนิดใหม่ มีการวิจัยและพัฒนาสูตรอยู่เรื่อยๆ อาจเรียกว่า Entrepreneur แต่คนที่รับสืบทอดกิจการร้านอาหารจากครอบครัวหรือนำสูตรเดิมมาเปิดสาขาใหม่ ไม่ได้เน้นว่าต้องโดดเด่นหรือแตกต่างจากท้องตลาด เน้นความมั่นคงและกำไรยั่งยืน อาจเรียกว่าเป็น Business owner

Freelance

มาถึงอีกคำศัพท์ยอดฮิตในปัจจุบัน  คำว่า Freelance  คือการทำงานฟรีแลนซ์ หรืออการทำงานอิสระที่ออกจากเส้นทางลูกจ้างประจำ หรือการจ้างงานเต็มเวลาแบบเดิม

ฟรีแลนซ์ คือคนที่ทำงานตามโปรเจ็กต์แบบระยะสั้น อาจเป็นสัญญาระยะสั้นแค่ไม่กี่วัน หรือยาวไปหลายเดือนก็ได้  

ฟรีแลนซ์อาจทำงานหลายโปรเจ็คต์พร้อมกัน ให้กับกลุ่มลูกค้าหลากหลายประเภท หรือรับทีละโปรเจ็คต์ให้จบงานก่อนขึ้นโปรเจ็กต์ใหม่ ซึ่งลูกค้าเหล่านี้จะจ่ายเงินค่าตอบแทนสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะตามทักษะนั้นๆ ของฟรีแลนซ์  

ถึงแม้ฟรีแลนซ์จะถือเป็นการทำงานอิสระ แต่หลักๆ คือฟรีแลนซ์ทำงานตามความต้องการของลูกค้า หรือตามคำสั่งของผู้จ้างงาน

นั่นหมายความว่า ลูกค้ามีอำนาจควบคุมว่างานของฟรีแลนซ์ควรมีลักษณะแบบไหน ผลลัพธ์ต้องหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีอำนาจควบคุมวิธีการทำงานก็ตาม

การอธิบายอาชีพแบบฟรีแลนซ์ เราสามารถเติมคำว่า “Freelance ” เข้าไปหน้าคำนามหลักได้เลยค่ะ เช่น

  • A freelance writer นักเขียนฟรีแลนซ์
  • A freelance graphic นักออกแบบกราฟิกฟรีแลนซ์
  • A freelance photographer  ช่างภาพฟรีแลนซ์
  • A freelance artist ศิลปินฟรีแลนซ์

การใช้ Freelance, Entrepreneur, Self-employment ในประโยค

อย่างที่ อ. ผึ้ง เล่าไปด้านบนคือ คนทำงานอิสระมักจะไม่ได้เข้างาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เหมือนคนทำงานประจำ แต่สามารถยืดหยุ่นได้ เริ่มงานบ่าย เลิกงานหลังเที่ยงคืนก็มี

ในขณะที่ฟรีแลนซ์สามารถรับงานจากลูกค้าหลายคนได้ รับโปรเจ็กต์หลายงานพร้อมกัน วันนี้เป็นช่างภาพ พรุ่งนี้อาจไปเป็นนักออกแบบกราฟฟิก แล้วแต่ใครจะว่าจ้าง แต่คนเป็นเจ้านายตัวเองมักจะเน้นการทำงานแบบเดิมทุกวัน เพราะเป็นธุรกิจของตัวเอง

การใช้คำเหล่านี้ในประโยคภาษาอังกฤษก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ถ้าเราอยากพูดกว้างๆ ไม่ได้ต้องการระบุสาขาอาชีพ ก็ใช้ตัวอย่างประโยคแบบนี้ได้ค่ะ เช่น

  • I am a freelancer.
    • ฉันทำงานฟรีแลนซ์
  • I am an entrepreneur.
    • ฉันเป็นเจ้าของธุรกิจ (เป็นผู้ประกอบการ)
  • I am self-employed.
    • ฉันทำงานอิสระ (เป็นเจ้านายตัวเอง)

แต่ถ้าอยากระบุอีกหน่อย ก็ใช้ตัวอย่างประโยคแบบนี้

  • I am a freelance programmer.
    • ฉันเป็นโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์
  • I run an insurance business with my sister.
    • ฉันทำธุรกิจประกันภัยกับน้องสาว
  • I have a small company in Chiang Mai.
    • ฉันมีบริษัทเล็กๆ ที่เชียงใหม่
  • I own a yoga studio in Bangkok.
    • ฉันเป็นเจ้าของสตูดิโอโยคะที่กรุงเทพ

ทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายแบบกว้างๆ ตามบริบทการใช้สากลทั่วไปนะคะ ถึงแม้ในบางประเทศ (อย่างที่นี่ในสหราชอาณาจักร) จะต้องใช้คำที่ถูกต้องเพราะอาจมีผลกับการกรอกแบบฟอร์มทางกฎหมาย แต่ในเมืองไทย เราอาจเห็นคนใช้สลับกันแต่ก็ยังพอสื่อสารกันรู้เรื่อง อ. ผึ้ง แนะนำว่า ขอแค่เราเข้าใจความหมายที่แท้จริง และสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ถูกต้องกับสถานการณ์ก็โอเคแล้ว

การทำงานอิสระให้อิสระกับเราได้ก็จริง ทุกคนสามารถเป็นฟรีแลนซ์ได้ ถ้ามีทักษะเฉพาะและความชำนาญ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเจ้านายตัวเองได้ เพราะต้องอาศัยวินัยสูง ทั้งจัดการระบบงานและจัดการเวลา สำหรับคนที่อยากขยับจากฟรีแลนซ์เป็นเจ้านายตัวเอง หมั่นพัฒนาความรู้และมุ่งมั่นกับเป้าหมายอย่างไม่ลดละนะคะ อ. ผึ้ง เอาใจช่วยค่ะ


สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงาน ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning


บทความมีลิขสิทธิ์ : ขอบคุณที่ไม่คัดลอก หรือดัดแปลงเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

1 ความเห็น

ใส่ความเห็น