คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่ในระดับ “พอใช้” เมื่อประเมินจากความรู้สึกส่วนตัวที่เห็นภาษาอังกฤษปะปนเข้ามาในชีวิตประจำวันและเรายังสื่อสารกันเอง “พอรู้เรื่อง”

แต่รู้ไหมคะ? เมื่อมีการวัดระดับภาษาอังกฤษแบบทางการเข้ามา และเปรียบเทียบผลที่ได้กับประเทศอื่นๆ ในโลกแล้ว เรากลับอยู่ในระดับ “แย่มาก” และมีแนวโน้มจะ “แย่ลง” เรื่อยๆ ด้วย สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? และเราจะแก้ได้อย่างไร?


ก่อนจะพูดถึงสถานการณ์ประเทศไทย เราต้องเข้าใจก่อนว่า โดยทั่วไปแล้วการวัดระดับและจัดอันดับภาษาอังกฤษช่วยวัดความก้าวหน้าในแต่ละภูมิภาคและทั่วโลกค่ะ ซึ่งจะมีความสำคัญกับแต่ละประเทศด้วยเหตุผลหลายด้าน ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม อย่างเช่น

  • ประเมินคุณภาพการศึกษา: ดัชนีที่ได้ช่วยให้รัฐบาลและองค์กรในแต่ละประเทศเข้าใจสถานะและคุณภาพของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
  • พัฒนานโยบายด้านภาษา: ประเทศที่ได้คะแนนต่ำสามารถใช้ข้อมูลนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน หรือจัดสรรทรัพยากรสำหรับการฝึกอบรมครูและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ
  • เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของธุรกิจและการสื่อสารระหว่างประเทศ การที่ประชากรในประเทศมีทักษะภาษาอังกฤษสูงขึ้น โอกาสการลงทุน การค้า และความร่วมมือระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้นด้วย
  • ส่งเสริมการจ้างงาน: คนที่มีทักษะภาษาอังกฤษมักมีโอกาสที่ดีกว่าในตลาดแรงงาน เนื่องจากหลายบริษัท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การท่องเที่ยว และการสื่อสาร ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
  • เข้าถึงสื่อดิจิทัล: ส่วนใหญ่ของข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เช่น บทความ งานวิจัย และคอร์สออนไลน์ เป็นภาษาอังกฤษ ประเทศไหนมีทักษะภาษาอังกฤษสูงก็จะได้ประโยชน์ในการเข้าถึงทรัพยากรความรู้นี้มากขึ้นด้วย

การวัดระดับภาษาอังกฤษโดยทั่วไปสามารถทำได้ด้วยการใช้ข้อสอบมาตรฐาน เพื่อวัดทักษะการสื่อสารทั้ง 4 ด้าน คือ ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน ข้อสอบที่เรารู้จักดีสำหรับการเรียนต่อและการทำงาน เช่น TOEIC และ IELTS ปัจจุบันยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ให้บริการข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษเพิ่มเติมด้วย เช่น Education First (EF) ซึ่งนอกจากจะออกแบบข้อสอบมาตรฐานเองแล้ว เขายังเก็บข้อมูลสถิติเพื่อจัดอันดับทักษะภาษาอังกฤษของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนเป็นที่มาของประเด็นที่ อ. ผึ้ง กำลังจะคุยในบทความนี้

ผลการวัดระดับภาษาอังกฤษที่เรียกว่า EF English Proficiency Index (EF EPI) เป็นดัชนีที่วัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของประเทศต่างๆ โดยในแต่ละปี การจัดอันดับนี้จะพิจารณาจากผลการทดสอบภาษาอังกฤษของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา (non-native speakers) นั่นแปลว่าประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เช่น สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย จะไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบและจัดอันด้วยด้วยนะคะ สำหรับประเทศไทย อันดับ EF EPI ในปี 2024 มีดังนี้

ดัชนีที่ได้ช่วยให้รัฐบาลและองค์กรในแต่ละประเทศเข้าใจสถานะและคุณภาพของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ

อ. ผึ้ง อารดา
  • อันดับของประเทศไทย
    • ประเทศไทยอยู่ที่ อันดับ 106 จาก 116 ประเทศ โดยอยู่ในกลุ่ม “Very Low Proficiency” หรือ “ความสามารถระดับต่ำมาก” (คะแนน 416)
    • ในเอเชีย ประเทศไทยอยู่ อันดับ 21 จาก 23 ประเทศ เป็นรองหลายประเทศในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ (อันดับ 3, คะแนน 609) ฟิลิปปินส์ (อันดับ 22, คะแนน 570) และมาเลเซีย (อันดับ 26, คะแนน 566)
  • ประเทศที่ได้อันดับสูงสุดและต่ำสุด
    • สูงสุดในโลก: เนเธอร์แลนด์ (คะแนน 636) ตามด้วยนอร์เวย์ (คะแนน 610) และสิงคโปร์ (คะแนน 609)
    • ต่ำสุดในโลก: เยเมน (อันดับ 116, คะแนน 391)
    • ต่ำสุดในเอเชีย: เยเมน (คะแนน 391) และซีเรีย (คะแนน 396)


ถ้าเราดูจากสถิติ 5 ปีย้อนหลัง ระดับภาษาอังกฤษของประเทศไทยใน EF EPI มีแนวโน้ม “แย่ลง” อย่างชัดเจนค่ะ

  • ปี 2023: อันดับ 97 จาก 111 ประเทศ
  • ปี 2022: อันดับ 100 จาก 111 ประเทศ
  • ปี 2021: อันดับ 100 จาก 112 ประเทศ
  • ปี 2020: อันดับ 89 จาก 100 ประเทศ
  • ปี 2019: อันดับ 74 จาก 100 ประเทศ
Photo by SNDRF . on Pexels.com

EF EPI ใช้ผลการทดสอบภาษาอังกฤษออนไลน์ EF Standard English Test (EF SET) ซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปทำฟรี หรือผลทดสอบที่จัดโดย EF ผ่านโรงเรียน บริษัท และรัฐบาล โดยที่แบบทดสอบครอบคลุมการฟังและการอ่าน เพื่อวัดความสามารถทางภาษาในระดับ CEFR (Common European Framework of Reference)

ผู้เข้าร่วมสอบต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยในปี 2024 ได้รวบรวมข้อมูลจากกว่า 2.1 ล้านคนใน 116 ประเทศ


อ. ผึ้งมองว่าผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับกลุ่มตัวอย่างที่สมัครใจทำแบบทดสอบ ซึ่งอาจไม่สะท้อนความสามารถทางภาษาอังกฤษของประชากรทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ แต่ก็พอจะทำให้เราเห็น “ภาพรวม” ระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของประชากรทั่วไปในแต่ละประเทศ

ทีนี้เรามาวิเคราะห์ผลกันบ้างค่ะ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสะท้อนถึงอะไรบ้าง? โดยเฉพาะทักษะภาษาอังกฤษในกลุ่มเยาวชนของเรา

  • แนวโน้มในอดีต
    • ประเทศไทยเคยอยู่ในกลุ่มที่มีคะแนนต่ำหรือปานกลาง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อันดับและคะแนนลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา
    • การจัดอันดับมักสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังต้องเร่งพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของกลุ่มผู้เรียน โดยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือฟิลิปปินส์ ซึ่งมีอันดับสูงกว่าอย่างต่อเนื่อง
  • สถานะปัจจุบัน
    • ในปี 2023 และ 2024 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Very Low Proficiency” (ความสามารถต่ำมาก)
    • ถึงแม้หน่วยงานต่างๆ จะเพิ่มการจัดโปรแกรมพิเศษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษให้ครูผู้สอนและผู้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับประถมแล้ว แต่อันดับของประเทศไทยก็ยังต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย
  • แนวโน้มในอนาคต
    • แน่นอนว่า ถ้าไม่มีการปรับปรุงเชิงโครงสร้างในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง แนวโน้มความสามารถของไทยอาจยังคงอยู่ในระดับต่ำไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก
Photo by Jeswin Thomas on Pexels.com

ทุกคนคงรู้กันดีว่าปัญหาคนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษเกิดขึ้นมานานแล้ว และถึงแม้ในปัจจุบันคนไทยจะเริ่มหันมาใช้ภาษาอังกฤษปนกับภาษาไทยในชีวิตประจำวัน อย่างการพูดไทยคำอังกฤษคำ (ทั้งที่บางคำก็มีภาษาไทยใช้กันมานานอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องทับศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษเลย) แต่ก็ไม่ช่วยให้ทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยดีขึ้นนัก

ปัญหาหนึ่งที่ อ. ผึ้ง พบบ่อยคือ คนที่พูดไทยคำอังกฤษคำได้ มักจะพูดเป็นภาษาอังกฤษทั้งประโยคไม่ได้ นั่นเพราะคนไทยอาจมีความรู้ด้านคำศัพท์จากการท่องจำ แต่ไม่มีความเข้าใจในการทำไปใช้จริง

แน่นอนว่า สาเหตุของปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากระบบการศึกษาของไทยมักเน้นการสอนไวยากรณ์และการอ่านเขียน มากกว่าทักษะการฟังและการพูด แม้แต่ในการกวดวิชาเพื่อเตรียมสอบ ยังเป็นการเน้นท่องจำรูปประโยค มากกว่าการเน้นความเข้าใจ

อีกปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้คือความชำนาญของครูผู้สอนค่ะ ในแต่ละปีประเทศไทยผลิตบัณฑิตด้านการสอนภาษาอังกฤษออกมาจำนวนมาก แต่ก็มีครูผู้สอนภาษาอังกฤษจำนวนมากที่ยังขาดความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาอังกฤษ หรือไม่ได้รับการพัฒนาทักษะอย่างเพียงพอก่อนจบการศึกษา เมื่อเข้าสู่กระบวนการทำงานแล้ว ถ้าไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะเพิ่ม หรือไม่หาโอกาสพัฒนาตัวเองเพิ่ม การถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คงไม่ง่าย

อีกประเด็นหนึ่ง ที่คนไทยมักหยิบมาเป็นเรื่องตลกคือการไม่เคยตกเป็น “อาณานิคม” ของประเทศมหาอำนาจที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก การพูดภาษาอังกฤษไม่ได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งจะว่าไปข้อเหตุผลนี้ก็ถูกต้อง แต่ไม่ทั้งหมด

ถึงแม้ประเทศไทยยังขาดสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก อย่างเช่น สิงคโปร์, มาเลเซีย, หรือฟิลิปปินส์ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการหรือภาษาที่สอง แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่มีระดับภาษาอังกฤษในระดับดี โดยที่ไม่ต้องเป็นอาณานิคมของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษมาก่อน ตัวอย่างใกล้ๆ คือประเทศเกาหลีใต้

ประเทศเกาหลีใต้มีระดับภาษาอังกฤษอยู่ที่ อันดับ 50 จาก 116 ประเทศ โดยได้คะแนน 523 และจัดอยู่ในกลุ่ม Moderate Proficiency (ความสามารถระดับปานกลาง) ถึงแม้ความกลัวในการออกเสียงผิดหรือถูกวิจารณ์จะเป็นเรื่องธรรมดาของหลายๆ ประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเมื่อภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่สอง แต่ชาวเกาหลีใต้ก็สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในการจัดการความกลัว และพัฒนาทักษะตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ท้ายสุดที่ อ. ผึ้ง ฝากไว้คงเป็นเรื่องการพัฒนานโยบายด้านการศึกษาและการส่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย ที่จำเป็นต้องมีความต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกในระยะยาว

ปัจจุบันระดับภาษาอังกฤษของคนไทยอาจยังไม่น่าพอใจ แต่ถ้าเราจริงจังกับการอบรมครูผู้สอน (และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง) หันมาปรับวิธีการสอนที่เน้นการสื่อสารมากกว่าการท่องจำไวยกรณ์ สร้างสภาพแวดล้อมภาษาอังกฤษ และส่งเสริมสื่อภาษาอังกฤษ เช่น หนังสือและภาพยนตร์ ให้คนไทยมากขึ้น ความสามารถทางภาษาอังกฤษและอันดับในเวทีโลกของคนไทยน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในระยะยาว


สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงาน ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning

ใส่ความเห็น