The Biology of Belief โดย Dr. Bruce Lipton เป็นหนังสือขายดีแนวพัฒนาตัวเองที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนมาแล้วมากมายทั่วโลก หนังสือที่ผนวกรวมวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ความเชื่อ และการรับรู้ของมนุษย์ ตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกจนวาระสุดท้ายของชีวิต
หนังสือเล่มนี้ท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของเราด้วยศาสตร์แห่งการแพทย์และชีววิทยาสมัยใหม่ สำหรับคนที่สนใจด้านการพัฒนาตัวเอง ไม่ควรพลาดค่ะ
บ่ายวันหนึ่ง อ. ผึ้ง ได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์เอ็มไอเอสเรื่องการแปลหนังสือแนววิทยาศาสตร์การแพทย์และการพัฒนาตัวเองฉบับภาษาอังกฤษ หลังจากดูชื่อและหน้าปกแล้ว อ. ผึ้ง ตอบตกลงทันที ด้วยเหตุผลหลักข้อเดียว เล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือโปรดของ อ. ผึ้ง ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว สมัยที่หนังสือแนวพัฒนาตัวเองผนวกงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ยังไม่พิมพ์ออกมามากมายเหมือนในปัจจุบัน เล่มนี้จึงขึ้นแท่นเป็นทั้งหนังสือดีในตำนาน (ของตัวเอง) และหนังสือขายดีทั่วโลก
ชื่อหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษ “The Biology of Belief” หลายคนฟังแล้วอาจรู้สึกเกรงขาม (ปนฉงนเล็กๆ) แรกทีเดียวคำว่า “Biology” หรือ “ชีววิทยา” อาจทำให้บางคนรู้สึกเป็นเรื่องยาก ส่วนคำว่า “Belief” หรือ “ความเชื่อ” อาจทำให้เบาใจขึ้นนิดนึง เพราะอะไรที่เป็นแนวจิตวิทยามักจะเชื่อมโยงกับคนส่วนใหญ่ได้มากกว่า สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่าน อ. ผึ้ง บอกเลยว่าทั้งสองข้อสันนิษฐาณจากชื่อเรื่อง ถูกต้องทั้งคู่
The Biology of Belief
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักชีววิทยาชื่อดังชาวอเมริกัน ด็อกเตอร์ บรูซ ลิปตัน (Dr. Bruce Lipton) ที่เป็นทั้งนักวิจัยและอาจารย์สอนในโรงเรียนแพทย์ของอเมริกา ไม่ใช่อาจารย์สายเนิร์ด แต่เป็นสายร็อค ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึง
ถึงแม้เล่มนี้จะค่อนข้างอัดแน่นด้วยวิชาการ (โดยเฉพาะในบทแรกๆ) แต่การที่ด็อกเตอร์ บรูซ ลิปตัน เป็นผู้สอนบรรยายให้นักศึกษาแพทย์มาหลายปี จึงมีทักษะการอธิบายที่ย่อยให้เนื้อหาเชิงวิทยาศาสตร์หนักๆ เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับคนทั่วไป (และ อ. ผึ้ง ก็ใช้ความสามารถเต็มที่ในการแปลเรียบเรียงออกมาอีกรอบให้ได้อรรถรสและใจความครบถ้วนสำหรับนักอ่านไทย)
หนังสือเล่มนี้ได้ชื่อใหม่ในฉบับแปลภาษาไทยตามฉบับการตีพิมพ์ค่ะ ในฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 1 ใช้ชื่อว่า “ทำอะไรก็ดีไปหมด แค่เปลี่ยนความคิด” และชื่อในฉบับตีพิม์ครั้งที่ 2 คือ “The Biology of Belief : ฉบับภาษาไทย
มาดูสรุป 5 หลักคิดสำคัญที่ อ. ผึ้ง เอามาฝากจากหนังสือเล่มนี้กัน

1. จงเรียนรู้จากเซลล์ฉลาด
Dr. Lipton อธิบายว่าเซลล์เป็นสิ่งที่ฉลาดล้ำลึก เซลล์ของร่างกายมนุษย์ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกและภายใน (เช่น ความคิด ความรู้สึก และความเชื่อ)เยื่อหุ้มเซลล์เปรียบเสมือนสมองของเซลล์ ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากภายนอกและส่งผลต่อการทำงานภายใน
เซลล์ในร่างกายมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ เจริญเติบโตขึ้นได้ ไม่ใช่จากการแก่งแย่งเพื่อชิงอาหารและทรัพยากร แต่พวกมันดำรงอยู่ร่วมกันเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ แต่ละเซลล์แบ่งหน้าที่งานของตัวเองชัดเจน ทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี และสอดประสานอย่างกลมกลืน
ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด เซลล์ต่างๆ จะร่วมมือกันและปรับตัวเพื่อความอยู่รอด สังคมเซลล์ก็เปรียบเสมือนสังคมมนุษย์ เราต่างต้องพึ่งพากันและเรียนรู้ที่จะปรับตัวไปด้วยกันเพื่อความอยู่รอด ขณะเดียวกันเราต่างต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เพื่อให้โลกก้าวไปข้างหน้า
2. จงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
เอพิเจเนติกส์ (Epigenetics) เป็นแขนงวิชาพันธุศาสตร์ด้านกระบวนการเหนือพันธุกรรม หรืออธิบายง่ายๆ คือการศึกษาปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่นที่นอกเหนือจากปัจจัยทางพันธุกรรม ว่ามีความสัมพันธ์กับการถ่ายทอดลักษณะทางสายเลือดได้อย่างไรบ้าง ผู้เขียนพิสูจน์ให้เห็นจากประสบการณ์งานวิจัยในห้องทดลองกว่า 30 ปีของเขาเองว่า ความเชื่อเดิมของนักชีววิทยารุ่นก่อนอย่าง ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ว่าพันธุกรรมคือสิ่งกำหนดชะตาชีวิตเรา แท้จริงแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น
เซลล์เมมเบรน (Membrane) หรือเยื่อหุ้มเซลล์มีโปรตีนที่ทำหน้าที่ควบคุม “การอ่าน” ยีนพันธุกรรม และโปรตีนเหล่านี้ก็ปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในหรือภายนอกร่างกาย
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน สิ่งมีชีวิตในระบบชีวนิเวศนั้นๆ ก็จะปรับตัวตาม ร่างกายคนเราก็เหมือนกัน การเติบโตหรือเสื่อมถอยของเซลล์ไม่ได้เกิดจากยีนหรือพันธุกรรมที่ถูกเขียนรหัสไว้แต่เริ่ม แต่เกิดจากอิทธิพลแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต หรือภาวะโภชนาการ
หากต้องการมีชีวิตที่เจริญงอกงามเหมือนต้นไม้ จงอยู่ในสถานที่ที่เอื้อต่อการเติบโต จงฉลาดเลือกสิ่งแวดล้อมของเรา
3. จงเลือกดึงดูดแต่สิ่งที่ดี
ฟิสิกส์ควอนตัม หรือกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum Physics) คือทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่อธิบายพฤติกรรมของสสารขนาดเล็กระดับอะตอม ฟิสิกส์ควอนตัมทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วมนุษย์และทุกสิ่งในจักรวาลประกอบขึ้นจากความว่างเปล่า สรรพสิ่งล้วนคือพลังงาน เป็นคลื่นความถี่ ที่มักจะดึงดูดสิ่งที่มีแรงสั่นสะเทือนระดับเดียวกันเข้าหากัน ตัวเราเองก็เช่นกัน
ความคิดของเราคือคลื่นพลังงานที่ถูกส่งออกไปและจะรับสัญญาณที่มีความถี่ตรงกันเข้ามา คล้ายเสารับสัญญาณทีวี เมื่อเราคิดถึงสิ่งใด ความคิดนั้นจะไปดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามา นอกจากนี้ ความคิดยังสามารถ “เปิดสวิตช์” และ “ปิดสวิตช์” ยีนบางตัวในร่างกายได้ เพราะฉะนั้น เราต้องเฝ้าระวังความคิดของตัวเองให้ดี
ตัวอย่างคือ ถ้ามีความเครียด ชอบคิดกังวลถึงโรคร้ายซ้ำๆ เราเองนั่นแหละที่กำลังส่งคลื่นสัญญาณไปกระตุ้นยีนของโรคนั้นให้ก่อตัวขึ้นในร่างกาย ถ้าเราชอบคิดถึงเรื่องร้ายๆ แม้จะไม่มียีนความโชคร้ายในร่างกายเรา แต่สิ่งนี้อยู่ในรูปของคลื่นพลังงานรอบตัว เพราะฉะนั้น ความโชคร้ายก็มักมาเยือนเราบ่อยเช่นกัน ตรงข้ามถ้าเรามักคิดถึงความอ่อนเยาว์ หรือสุขภาพที่แข็งแรง เซลล์ต่างๆ ในร่างกายก็ย่อมปรับตัวตาม และการย้อนวัยด้วยความคิดสามารถพิสูจน์ได้จริง

4. จงเชื่อในความมหัศจรรย์ของร่างกาย
เมื่อความคิดซ้ำๆ ของมนุษย์สามารถส่งผลต่อร่างกายและสิ่งรอบตัวเราได้ แล้วถ้าความคิดนั้นกลายเป็นความเชื่ออย่างแรงกล้า พลังของมันจะส่งผล (ทั้งดีและลบ) ต่อร่างกายเราได้มากขนาดไหน
พลาซีโบ (Placebo) คือคำที่วงการแพทย์ใช้หมายถึงการให้ “ยาหลอก” หรือยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ใดๆ (อย่างเช่น แป้ง) กับผู้ป่วย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเหมือนได้รับยาจริงและสามารถหายจากโรคได้ แม้แต่การที่แพทย์ใช้การ “ผ่าตัดหลอก” โดยไม่ได้ทำการรักษาใดๆ ผู้ป่วยที่เชื่อว่าตัวเองได้รับการผ่าตัดจริง หรือได้ยาจริง ก็สามารถหายจากความเจ็บป่วยได้จริงเหมือนกัน
งานวิจัยหลายชิ้นทั้งด้านประสาทวิทยา (Neuroscience) และด้านเภสัชกรรม (Pharmacy) ยืนยันเรื่องนี้ พลังพลาซีโบก็คือพลัง “ความเชื่อ” ของผู้ป่วยเอง เรื่องนี้ตอกย้ำแก่นหลักของหนังสือที่ว่า ความเชื่อของเราสามารถรักษาร่างกายและเยียวยาจิตใจของเราได้ ขณะเดียวกันก็ทำร้ายเราได้หากเป็นความเชื่อในทางลบ
5. จงใช้จิตใต้สำนึกสร้างชีวิตที่ต้องการ
นอกจากพลังความเชื่อแล้ว พลังของจิตใต้สำนึกก็มีอานุภาพรุนแรงที่สามารถสร้างสรรค์ หรือทำลายชีวิตเราได้เหมือนกัน
ความคิด นิสัย อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ เกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวันคือการแสดงออกของจิตใต้สำนึก อย่างที่คุยไปแล้วว่า ความคิดคือคลื่นพลังงาน จิตใต้สำนึกก็คือคลื่นความคิดหรือคลื่นพลังงานเหมือนกัน เมื่อจิตใต้สำนึกส่งคำสั่งออกไป ไม่ว่าทางบวกหรือลบ เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองตามนั้นแบบอัตโนมัติทันที โดยไม่ท้วงถามหรือกลั่นกรอง ผู้เขียนได้อธิบายหลักข้อนี้เชิงวิทยาศาสตร์ไว้ชัดเจนค่ะ คำกล่าวที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” คือเรื่องจริง
อารมณ์กลัวและความเครียดส่งผลร้ายแรงที่สุด เพราะมันไปยับยั้งการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย อารมณ์กลัวและความเครียดเป็นชีวกลไกอย่างหนึ่งในการปกป้องตัวเองของสิ่งมีชีวิตเพื่อความอยู่รอด ผู้เขียนเปรียบสังคมเซลล์เหมือนชุมชนที่เจอภัยสงครามและต้องหยุดการทำงานไปทั้งระบบ แต่ถ้าความเครียดสะสมนานเข้า ในที่สุดสังคมนั้นจะล่มสลาย ร่างกายของเราก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น หากอยากเปลี่ยนชีวิต จงเริ่มที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกของเราก่อน

อ. ผึ้งอ่านหนังสือเล่มนี้ฉบับตีพิมพ์ภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยที่หนังสือแนวผสมผสานวิทยาศาสตร์การแพทย์กับจิตวิทยากำลังอยู่ในยุคเริ่มๆ จะเบ่งบาน ช่วงนั้นเนื้อหาของเล่มนี้ถือว่าสดใหม่และทรงพลัง สั่นสะเทือนแรงไปหลายวงการเลยค่ะ สิบปีต่อมาในวันที่ได้ลงมือแปลหนังสือฉบับภาษาไทยอย่างจริงจังอีกครั้ง อ. ผึ้งเชื่อว่าเนื้อหายังทันสมัยและใช้ได้จริงเสมอ
ใครสนใจเรื่องการพัฒนาตัวเองโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาแบ็คอัพแบบเต็มๆ แนะนำให้หามาอ่านค่ะ “The Biology of Belief – ทำอะไรก็ดีไปหมด แค่เปลี่ยนความคิด” และ “The Biology of Belief – ปลดปล่อยพลังจิตใต้สำนึก ร่างกาย และความมหัศจรรย์ในตัวคุณ” แล้วจะรู้ว่า ยีนไม่ใช่ตัวกำหนดชะตาชีวิต แต่มันคือ “ความคิด” ของเราเอง ที่เป็นต้นกำเนิดของทุกอย่าง
บทความมีลิขสิทธิ์ : ขอบคุณที่ไม่คัดลอก หรือดัดแปลงเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อก่อนได้รับอนุญาต
สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงานอย่างมือโปร ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning
