นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน เทคนิคการเรียนรู้ของมนุษย์ถูกพัฒนาปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด การเรียนรู้ไม่ได้ใช้เพียงแค่ความมุ่งมั่นและความมีวินัย แต่ยังรวมถึงความพร้อมและประสิทธิภาพของ “สมอง” และ “พฤติกรรม” ของผู้เรียนด้วย


การทำความเข้าใจสมองและปรับพฤติกรรมให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพสูงสุด และแนวคิดนี้ก็เป็นหัวใจหลักของ AlphaMax ที่ อ. ผึ้ง เน้นอยู่เสมอ มาดูรายละเอียดของ Neuroeducation ไปพร้อมกันค่ะ


Neuroeducation หรือบางครั้งเรียกว่า Educational Neuroscience คือการศึกษาและประยุกต์ใช้ความรู้จากวิทยาศาสตร์สมอง (neuroscience) ในการพัฒนาวิธีการสอนและการเรียนรู้ โดยเน้นที่การทำความเข้าใจว่ากระบวนการทำงานของสมองมีผลต่อการเรียนรู้อย่างไร

หลักการสำคัญของ Neuroeducation คือการเชื่อมโยงระหว่าง 3 สาขาวิชาหลัก:

  1. Neuroscience (วิทยาศาสตร์สมอง): ศึกษาการทำงานของสมองและระบบประสาท
  2. Psychology (จิตวิทยา): ศึกษาพฤติกรรมและกระบวนการคิด
  3. Education (การศึกษา): พัฒนากระบวนการสอนและการเรียนรู้


ความก้าวหน้าของงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สมองในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดการพัฒนาศาสตร์ใหม่ หรือเรียกให้ถูกคือการเชื่อมต่อความรู้จนกลายเป็นศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า Neuroeducation

Neuroeducation เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะศาสตร์เฉพาะทางในช่วงทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเป็นยุคที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการศึกษาสมอง เช่น MRI (Magnetic Resonance Imaging) และ EEG (Electroencephalography) เริ่มแพร่หลายมากขึ้น ช่วยให้นักวิจัยสามารถศึกษาการทำงานของสมองขณะเรียนรู้ได้อย่างละเอียดไปด้วย

ตัวอย่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่นำไปสู่องค์ความรู้ใหม่ๆ ในวงการศึกษา เช่น:

  • การค้นพบเกี่ยวกับ neuroplasticity (สมองมีความยืดหยุ่นและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต)
  • การเข้าใจว่า executive functions (การวางแผน การควบคุมอารมณ์ และการแก้ปัญหา) มีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้
  • ความรู้เกี่ยวกับ working memory (ความจำใช้งานชั่วคราว) และ long-term memory (ความจำระยะยาว)

อย่างที่บอกไปแล้วว่า แนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างสมองกับการเรียนรู้ ในยุคแรกๆ ผลงานของนักวิจัยด้านการศึกษาอย่าง Howard Gardner (Multiple Intelligences) และ John Sweller (Cognitive Load Theory) ถูกนำมาประยุกต์รวมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง MRI และ EEG เพื่อร่วมวิเคราะห์การทำงานของสมองขณะเรียนรู้

  1. Howard Gardner (ปี 1983):
    • ผู้ริเริ่มแนวคิด Multiple Intelligences ที่เสนอว่ามนุษย์มีความฉลาดหลากหลายรูปแบบ เช่น ความฉลาดด้านภาษา ดนตรี คณิตศาสตร์
    • ถึงแม้ Gardner จะไม่ได้ใช้คำว่า Neuroeducation แต่แนวคิดนี้ก็จุดประกายให้นักวิจัยหันมาสนใจสมองและการเรียนรู้แบบหลากหลายมิติ
  2. John Sweller (ปี 1988):
    • ผู้พัฒนาทฤษฏี Cognitive Load Theory ที่มองว่าความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์มีข้อจำกัดตามการทำงานของหน่วยความจำระยะสั้น (working memory)
    • แนวคิดนี้เป็นรากฐานสำคัญของ Neuroeducation ด้วย
  3. ยุคทศวรรษที่ 90:
    • เป็นยุคที่ศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์สมองเติบโตอย่างก้าวกระโดด
    • นักวิทยาศาสตร์หลายคน เช่น Eric Kandel (ผู้ได้รับรางวัลโนเบลปี 2000) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ neuroplasticity หรือการปรับตัวของสมองในกระบวนการเรียนรู้
    • การศึกษาเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนา Neuroeducation ในเชิงวิชาการและการเริ่มประยุกต์ใช้
  4. Kurt Fischer (ปี 2000):
    • Fischer เป็นหนึ่งในผู้ที่บุกเบิกการรวมวิทยาศาสตร์สมองเข้ากับการศึกษาผ่านโครงการ Mind, Brain, and Education (MBE) ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
    • เขาเน้นการเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาสมองและการเรียนรู้ในเด็ก ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของ Neuroeducation
Photo by Max Fischer on Pexels.com

ถึงแม้ Neuroeducation จะเกี่ยวกับศาสตร์สมองและอาจฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราทุกคนสามารถนำหลักการมาปรับใช้ได้ง่ายๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ได้

เพื่อให้เห็นภาพ อ. ผึ้ง จะตัวอย่างการใช้หลัก Neuroeducation ประยุกต์กับการเรียนทักษะใหม่ค่ะ

  • หลักการ: เรียนรู้และฝึกฝนสิ่งใหม่อย่างสม่ำเสมอ เพราะสมองสามารถสร้างการเชื่อมโยงใหม่ได้ตลอด
  • ตัวอย่าง: หากต้องการพัฒนาทักษะภาษา ให้ฝึกพูด ฟัง อ่าน เขียนทุกวัน แม้จะเพียง 15-30 นาที
  • หลักการ: เน้นการลงมือทำมากกว่าการฟังหรืออ่านเพียงอย่างเดียว
  • ตัวอย่าง: สร้าง mind-map หลังเรียนเนื้อหาใหม่ หรืออธิบายเนื้อหาให้ผู้อื่นฟังเพื่อเพิ่มความเข้าใจให้ตัวเอง
  • หลักการ: สมองมีขีดจำกัดในการประมวลข้อมูลในแต่ละครั้ง ควรแบ่งการเรียนรู้ออกเป็นส่วนย่อยๆ
  • ตัวอย่าง: หากเนื้อหาเยอะ ให้เรียนทีละหัวข้อย่อยและทบทวนจนเข้าใจก่อนเพิ่มเนื้อหาใหม่
  • หลักการ: การพักผ่อนเพียงพอช่วยเพิ่มความจำระยะยาวและการแก้ปัญหา
  • ตัวอย่าง: จัดเวลานอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง และใช้เทคนิคการพักระหว่างเรียนเป็นระยะ
  • หลักการ: การมีสมาธิช่วยให้สมองประมวลผลได้ดีขึ้น
  • ตัวอย่าง: ฝึกสมาธิวันละ 5-10 นาที หรือฝึกการหายใจลึกและสร้างความผ่อนคลายก่อนเริ่มเรียน

Neuroeducation คือแนวคิดที่ช่วยให้เราพัฒนาการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์สมองเข้ามาช่วย

ด้านบนเป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆ ที่ อ. ผึ้ง ยกมาให้เห็นภาพเท่านั้นค่ะ เราสามารถประยุกต์ใช้หลักเหล่านี้ในชีวิตประจำวันได้โดยการเข้าใจการทำงานของสมอง ลงมือการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จัดการเนื้อหาให้เหมาะสมกับขีดความสามารถของสมอง และดูแลสภาพจิตใจและร่างกายให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้การเรียนรู้ในทุกๆ ด้านมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

และสำหรับคนที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง ทั้งทักษะภาษาและการเรียนรู้ทักษะทั่วไป ควบคู่กับการเข้าใจหลักการทำงานสมอง สามารถติดตามความรู้และเทคนิคอีกมากมายเพื่อการประยุกต์ใช้ Neuroeducation กับ อ. ผึ้ง และ AlphaMax ได้ที่นี่ค่ะ


สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงาน ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning

ใส่ความเห็น