ภาษาอังกฤษที่ใช้กันทั่วโลกทุกวันนี้มีหลายแบบ หลายสำเนียง และหนึ่งในสำเนียงที่ใครๆ ก็บอกว่าฟังแล้วมีเสน่ห์มาก ก็คือ British English หรือ “ภาษาอังกฤษแบบบริติช”

มาดูกันว่าเขามาจากไหน มีความพิเศษยังไง และมีเอกลักษณ์โดดเด่นอะไรบ้าง?



ภาษาอังกฤษแบบบริติช (British English) เป็นหนึ่งในรูปแบบของภาษาอังกฤษที่ใช้กันในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีความแตกต่างจากภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) ในหลายด้านเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์ การสะกดคำ การออกเสียง และไวยากรณ์

ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากพัฒนาการทางภาษาที่แยกจากกัน หลังการเดินทางไปตั้งรกรากของชาวอังกฤษในอเมริกาในศตวรรษที่ 17

สหราชอาณาจักร (United Kingdom หรือ UK) คือประเทศที่ประกอบด้วยสี่ดินแดน (หรือสี่ประเทศ) ได้แก่

  • อังกฤษ (England)
  • สกอตแลนด์ (Scotland)
  • เวลส์ (Wales)
  • ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland)

สหราชอาณาจักรมีกรุงลอนดอนเป็นเมืองหลวง ซึ่งอยู่ในประเทศอังกฤษค่ะ ระบบการปกครองของสหราชอาณาจักรเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำรัฐบาล

เมืองหลวงของสหราชอาณาจักรคือ “ลอนดอน”

อย่างที่ อ. ผึ้ง บอกไปว่า ภาษาอังกฤษแบบบริติชมีความแตกต่างกับภาษาอังกฤษแบบอเมริกันพอสมควร มาดูเอกลักษณ์ที่แตกต่างของเขากันค่ะ

คำศัพท์

คำศัพท์บางคำที่ใช้ใน British English แตกต่างจาก American English เช่น:

  • Holiday (วันหยุด) แทนที่จะใช้ Vacation
  • Lift (ลิฟต์) แทนที่จะใช้ Elevator
  • Flat (อพาร์ตเมนต์) แทนที่จะใช้ Apartment
  • Petrol (น้ำมันเชื้อเพลิง) แทนที่จะใช้ Gasoline
  • Lorry (รถบรรทุก) แทนที่จะใช้ Truck

การสะกดคำ


ถ้าสังเกตดีๆ เราจะเห็นว่า British English และ American English มีความแตกต่างในการสะกดคำ เช่น

  • คำที่ลงท้ายด้วย -our ใน British English จะสะกดเป็น -or ใน American English เช่น
    • colour (สี) vs color
    • favour (ชื่นชอบ) vs favor
  • คำที่ลงท้ายด้วย -re ใน British English จะสะกดเป็น -er ใน American English เช่น
    • centre (ศูนย์กลาง) vs center
    • theatre (โรงละคร) vs theater
  • การสะกดแบบ British English ใช้ -ise แทน -ize ใน American English เช่น
    • realise (ตระหนัก) vs realize
    • organise (จัดระเบียบ) vs organize

การออกเสียง


เมื่อได้ยินการออกเสียงของคนอังกฤษจะเห็นค่อนข้างชัดเจนค่ะว่า British English มีลักษณะการออกเสียงที่แตกต่างจาก American English มากในหลายๆ จุด เช่น

  • เสียง r ใน British English มักจะออกเสียงเบาหรือไม่ออกเสียงเมื่ออยู่ท้ายคำ ในขณะที่ American English ออกเสียง r ชัดเจน เช่น
    • car ออกเสียงว่า “คา”
    • car ออกเสียงว่า “คาร์”
  • เสียงสระ a ใน British English British English มักออกเสียง “อา” ในขณะที่ American English ออกเสียง “แอ” เช่น
    • dance ออกเสียงว่า “ดานซ์”
    • dance ออกเสียงว่า “แดนซ์”
  • มีสำเนียงที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น
    • สำเนียง Received Pronunciation (RP) ซึ่งเป็นสำเนียงมาตรฐานของอังกฤษ หรือสำเนียง Cockney ในลอนดอน

ไวยกรณ์


บางโครงสร้างทางไวยากรณ์ใน British English แตกต่างจาก American English เล็กน้อย ย้ำว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่นะคะ ยังไงก็สื่อสารได้ตรงความหมายเหมือนกัน เช่น

  • British English ใช้ have got มากกว่า have
    • เช่น I have got a car. (ฉันมีรถ) แทนที่จะใช้ I have a car.
  • ใช้คำว่า shall บ่อยกว่า will โดยเฉพาะในบริบททางการ เช่น
    • I shall call you later.
  • ใช้ at the weekend แทน on the weekend ใน American English เช่น
    • I went to the beach at the weekend.


ภาษาอังกฤษแบบบริติชหรือ British English มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากภาษาอังกฤษแบบอเมริกันหรือ American English หลายด้านเลย ทั้งการใช้คำศัพท์ การสะกดคำ การออกเสียง และไวยากรณ์

ถึงแม้ทั้งสองรูปแบบจะสามารถใช้สื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ แต่การจะเลือกใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของเรา รวมทั้งบริบทแวดล้อมด้วย ถ้าเดินทางไปสหราชอาณาจักรหรือติดต่อกับคนอังกฤษ การใช้ภาษาแบบเจ้าของภาษาก็ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ และยังดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นด้วย


สำหรับผู้สนใจพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทำงานอย่างมือโปร ติดตามความรู้และเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการเรียน การพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website: alphamaxlearning.com และ Facebook: Arada – Alphamax Learning

ใส่ความเห็น